Bad Times at the El Royale (2018) ห้วงวิกฤตที่เอลโรแยล

Bad Times at the El Royale เล่าถึงคนที่ไม่รู้จัก 7 คน ที่จะต้องเช็คอินในบังกะโล El Royale อันมอซอชายทะเลสาปทาโฮ บนทำเลที่ตั้งเส้นแบ่งระหว่างแคลิฟอร์เนียแล้วก็เนวาดา ซึ่งมีคนที่ทำหน้าที่ในการต้อนรับของบังกะโลผู้เก็บความลับทั้งหมดทุกอย่างของรีสอร์ทลึกลับนี้ ก่อนที่จะการเข้าพักใน El Royale จะแปลงเป็นตอนกลางคืนหฤโหดของทุกคน
​ส่วนตัวติดอกติดใจส่วนประกอบของหนัง อีกทั้งฉาก แสงสีบาดตา แล้วก็เพลงจากจานเสียงเพราะติดหู เวลาที่รายละเอียดตามแบบฉบับภาพยนตร์ทริลเลอร์ แม้กระนั้นเพิ่มท่าทางการวางเส้นเรื่องของแต่ละคนเข้าไปให้รู้จักนักแสดงครั้งละคนๆ
แต่ว่าด้วยการเดินเรื่องที่เฉื่อยๆไปๆมาๆก ก่อนที่จะฉุดกระชากด้วยฉากฆ่าแบบเซอร์ไพรส์ไม่สนใจค่าตอบแทนดารา ทำให้ลุ้นระทึกเป็นระยะๆได้อยู่แบบเดียวกัน ส่วนมุกขบขันแบบดาร์กๆก็ทำให้ขำคละเคล้าน่าชิงชังอยู่บ้าง แต่ว่าอยู่ในจุดที่พอให้ยกโทษได้
ไล่เรียงนักแสดงแต่ละคนแล้ว หนังค่อนข้างหนักความดราม่าและมืดมนของพนักงานโรงแรม บาทหลวงกำมะลอ และนักร้องคอรัสสาวผิวสี ซึ่งทั้ง 3 ทำได้ดีทีเดียว เรียกว่าเล่นกันอยู่ 3 คนก็เอาอยู่
ส่วนสาวดาโกต้ายังเล่นบทสาวใต้จอมดิบได้ไม่เด่นชัดนัก ขณะที่ จอห์น แฮมม์ จากซีรีส์ดัง Mad Men และพ่อหนุ่มธอร์ คริส เฮมส์เวิร์ธ กลับไม่ได้รับการให้บทย้อนหลังอะไรมากมาย แต่เน้นการเล่นใหญ่ไฟกะพริบก็พอตรึงตราคนดูได้อยู่
เรื่องนี้ถ้าไม่ย้อนไปถึงยุค 60 ก็มีกลิ่นอายของความเป็นหนังสะท้อนด้านมืดของสังคมแบบฟิล์มนัวร์อยู่บ้างเล็กน้อย จากการใส่ความเป็นกรอบที่ทุกคนถูกจับตาโดย "พวกเขา" และเป็นอีกภาพยนตร์สำหรับคอหนังทริลเลอร์ปนตลกแบบดาร์กๆ ไม่ควรพลาด
โดยสรุปแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ให้แง่คิดที่ชัดเจนอยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือ ไม่ว่าคุณจะเคยมีเรื่องราวเลวร้ายในอดีตมาก่อนมากแค่ไหน เรามีสิทธิ์ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้